วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เพลงปี่ในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่

บันทึกเรื่อง ในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ พระอภัยมณีเป่าปี่กี่ครั้ง
บันทึกเรื่อง ในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ พระอภัยมณเป่าปี่กี่ครั้ง
การเป่าปี่ในเรื่องพระอภัยมณี ตามที่ปรากฏในสารบัญมี ๙ ครั้ง แต่เมื่อศึกษารายละเอียดในการเป่าปี่ตลอดทั้งเรื่องมีทั้งหมด ๑๓ ครั้ง เป็นพระอภัยมณีเป่าปี่ ๑๒ ครั้ง และ สินสมุทร เป่าปี่ ๑ ครั้ง



การเป่าปี่ครั้งที่ ๑ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๑ อยู่ในตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา เล่ม ๑ หน้า ๑๐ พระอภัยมณีเป่าปี่ให้พราหมณ์สามนายฟัง

@ พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข

อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์

ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์

แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา

ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา

ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์ จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง

แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้ เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง

พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจฯ

@ ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย

ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย

พระจันทรจรสว่างกลางโพยม ไม่เทียมโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย

แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน

เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง สำเนียงเพียงการเวกกังวานหวาน

หวาดประหวัดสตรีฤดีดาล ให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป

ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่ ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับใหล

พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทรายฯ


การเป่าปี่ครั้งที่ ๒ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของสินสมุทร ซึ่งเป็นบุตรพระอภัยมณี มีเพียงครั้งเดียวอยู่ในตอนที่ ๑๒ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา เล่ม ๒ หน้า ๑๓๙ พระอภัยมณีพบนางสุวรรณมาลี สินสมุทรเป่าปี่ให้ท้าวสิงหลฟัง

@ กรุงกษัตริย์ตรัสว่าน่าหัวร่อฯ เออก็พอที่หรือพระฤๅษี

วิชาอื่นดื่นไปว่าไม่ดี เรียนแต่ปี่ไปเที่ยวเป่าให้เขาฟัง

เดี๋ยวนี้ปี่มีอยู่หรือไม่เล่า นิมนต์เป่าให้โยมชมคารมมั่ง

ทั้งพวกเหล่าสาวสุรางค์นางชาววัง จะได้ฟังไพเราะเพราะโยคีฯ

@ พระอภัยได้ฟังนั่งชม้อย นางน้อยน้อยแลสบหลบฤๅษี

พอสบเนตรนุชพระบุตรี แกล้งพาทีทำเป็นว่าน่าเสียดาย

ถ้าพบเข้าคราวครั้งยังไม่บวช ไม่พูดอวดปากเปล่าจะเป่าถวาย

นี่ครองศีลสิกขารักษากาย เกรงอบายเบื้องหน้าอนาคต

แม้นท้าวไทจะใคร่ฟังหวังถวิล ว่าให้สินสมุทลาสิกขาบท

เป่าถวายคล้ายครุพอรู้รส กลัวทรงยศจะบรรทมไม่สมประดีฯ

@ กรุงกษัตริย์สรวลสันต์ว่าฉันชอบ แล้วตรัสปลอบสินสมุทรบุตรฤๅษี

ช่างสนใจได้วิชาบิดาดี ช่วยเป่าปี่ให้ฉันฟังบ้างเป็นไร

จะบูชาผ้าต้นกำพลรัต โขมพัตถ์ลายทองอันผ่องใส

สร้อยเสมาปะวะหล่ำแลกำไร โยมจะให้งามงามตามจำนงฯ

@ สินสมุทมุนีฤๅษีเล็ก ประสาเด็กดูของที่ต้องประสงค์

แล้วตอบว่าฉันจะใคร่ได้เครื่องทรง เหมือนที่องค์พระธิดาสารพันฯ

@ องค์ท่านท้าวสาวสุรางค์ต่างหัวร่อ ฤๅษีพ่อก็สำรวลพลอยสรวลสันต์

นางโฉมฉายอายองค์พระทรงธรรม์ ทำเมียงหันเมินยิ้มอยู่พริ้มพรายฯ

@ กรุงกษัตริย์ตรัสว่าอย่าปรารภ มีอยู่ครบเครื่องกษัตริย์จะจัดถวาย

จะขอฟังปี่ให้ใจสบาย ถึงหลับตายไปสักวันไม่พรั่นใจฯ

@ กุมาราลาลุกลงจากแท่น ออกโลดแล่นมากุฎีที่อาศัย

จึงลาศีลทรงภูษาผ้าสไบ ถือปี่ไปยังศาลาหน้าคีรี

ประณตนั่งบังคมบรมนาถ อยู่ริมอาสน์อัยกาตาฤๅษี

ภาวนาอาคมให้ลมดี แล้วเป่าปี่แปลงเพลงวังเวงใจ

ทำแหบหวนครวญว่าสาลิกาแก้ว ค่ำลงแล้วขวัญอ่อนจะนอนไหน

หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร จะหนาวใจสาริกาทุกราตรีฯ

@ กรุงกษัตริย์ฟังปี่ให้วิเวก เอกเขนกนั่งหาวทั้งสาวศรี

ให้วาววับหลับล้มไม่สมประดี ทั้งโยคีผู้เฒ่าพลอยหาวนอน

แกเอนพิงหลับอยู่กับอาสน์ พวกอำมาตย์หลับกลิ้งริมสิงขร

ทั้งพวกไพร่นายเภตราที่สาคร ระเนนหลับเรียบเงียบสำเนียง

ด้วยลมปี่เป่าดังกระทั่งโยชน์ ได้ทราบโสตสิงสัตว์สงัดเสียง

ในคงคาปลาร้ายขึ้นว่ายเรียง ฟังสำเนียงปี่แก้วแจ้วจับใจฯ

@ ฝ่ายนักสิทธิ์บิตุรงค์ทรงสวัสดิ์ เห็นสองกษัตริย์ไสยาสน์ไม่หวาดไหว

ทั้งสาวสวรรค์กัลยาเสนาใน ไม่มีใครฟื้นกายดังวายปราณ

พระเพ่งพิศธิดายุพาพักตร์ ดูน่ารักรูปทรงส่งสัณฐาน

ช่างเปล่งปลั่งยังไม่มีราคีพาน น่าสงสารซบนิ่งไม่ติงกาย

พระเลื่อนองค์ลงจากบัลลังก์อาสน์ หวังสวาทว่าจะโลมนางโฉมฉาย

ครั้นเข้าชิดคิดได้ไม่ใกล้กราย แต่เดินชายชมนางไม่วางตา

พระโอษฐ์เอี่ยมทียมสีลิ้นจี่จิ้ม เป็นลักยิ้มแย้มหมายทั้งซ้ายขวา

ขนงเนตรเกศกรกัลยา ดังเลขาผุดผ่องละอองนวล

ทำไฉนจะได้ดวงสมร ร่วมที่นอนแนบน้องประคองสงวน

แล้วรั้งรักหักใจไม่บังควร ให้ปั่นป่วนกลับมานั่งข้างหลังครูฯ

จึงห้ามสินสมุทรนั้นหยุดปี่ พระโยคีรู้สึกนึกอดสู

จึงว่าปี่ดีจ้านเจียวหลานกู เล่นเอาปู่ม่อยหลับระงับไป

แล้วแลดูผู้คนบนสิงขร ระเนนนิ่งกลาดไม่หวาดไหว

หัวเราะพลางทางว่าสาแก่ใจ ช่างหลับใหลล้มกลิ้งทั้งหญิงชาย

แล้วโยคีตีระฆังดังหง่างเหง่ง เสียงโก่งเก่งก้องหูไม่รู้หาย

สองกษัตริย์รู้สึกนึกละอาย สงสารสายสวาทนั่งบังบิดา

สาวสุรงค์บ้างก็ยังกำลังหลับ เขาปลุกกลับกลิ้งหงายน่าขายหน้า

บ้างละเมอเพ้อเชือนว่าเพื่อนมา กษัตริย์กริ้วกราดตวาดไป

อีเหล่านี้ขี้เซาเบาอยู่หรือ ฉุดข้อมือให้มันตื่นขึ้นจงได้

แล้วเหลียวมาพาทีด้วยชีไพร เพราะสุดใจเจียวปี่ดีจริงจริง

ช่างฉ่ำเฉื่อนเจื้อยแจ้วถึงแก้วหู หลับไม่รู้สึกกายทั้งชายหญิง

แต่แรกไม่ได้ฟังยังประวิง ที่นี้จริงของเจ้าคุณพระมุนี

แล้วจัดได้เครื่องประดับสำรับเก่า มาให้เจ้าสินสมุทรฤๅษี

กุมาราว่าของหมองไม่ดี โปรดเปลี่ยนที่พระธิดามาประทานฯ


การเป่าปี่ครั้งที่ ๓ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๒ อยู่ในตอนที่ ๑๔ พระอภัยมณีเรือแตก เล่ม ๑ หน้า ๑๖๐ พระอภัยมณีเป่าปี่ นางผีเสื้อขาดใจตาย

@ ฝ่ายพระองค์ทรงเดชเกศกษัตริย์ จึงจบหัตถ์อธิษฐานการกุศล

แล้ววันทาลาศีลพระทศพล เอาเครื่องต้นแต่งองค์อลังการ์

แล้วถือปี่ที่ท่านอาจารย์ให้ แข็งพระทัยออกจากชะวากผา

ขึ้นหยุดยั้งนั่งแท่นแผ่นศิลา ภาวนาอาคมเรียกลมปราณ

แล้วทรงเป่าปี่แก้วให้แจ้วเสียง สอดสำเนียงนิ้วเอกวิเวกหวาน

พวกโยธีผีสางทั้งนางมาร ให้เสียวซ่านซับซาบวาบหัวใจ

แต่เพลินฟังนั่งโยกจนโงกหงุบ ลงหมอบซุบซวนซบสลบไสล

พอเสียงปี่ที่แหบหายลงไป ก็ขาดใจยักษ์ร้ายวายชีวาฯ

@ ครั้นฝนหายพรายผีหนีไปหมด พระทรงยศแลดูบนภูผา

เห็นนางไม่ไหวติงนิ่งนิทรา ก็รู้ว่าขาดใจบรรลัยลาญ

จึงปลุกไพร่ให้ตื่นขึ้นทั้วพวก เหมือนหูหนวกเรียกใครก็ไม่ขาน

ต้องทำไปให้รู้ว่านางมาร ถึงแก่การมรณานิคาลัย

แขกฝรั่งทั้งนั้นสำคัญแน่ ลุกขึ้นแลดูยักษ์เห็นตักษัย

ต่างยอนหูให้นำลายนั้นหายไป แล้วอวยชัยชมปี่ช่างดีจริงฯ




การเป่าปี่ครั้งที่ ๔ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๓ อยู่ในตอนที่ ๑๗

พระอภัยมณีตีเมืองผลึก เล่ม ๑ หน้า ๓๕๑ - ๓๕๒ พระอภัยมณีเป่าปี่จับเจ้าละมานซึ่งมาตีเมืองผลึก

@ พระอภัยไม่พรั่นประหวั่นหวาด สั่งอำมาตย์มูลนายฝ่ายทหาร

แม้นกองทัพหลับใหลเห็นได้การ เปิดทวารออกไปมัดให้รัดรึง

เที่ยวผูกถือมือเท้าพวกบ่าวไพร่ ให้สาใจเหมือนลูกอ่อนลงนอนขึง

แต่นายใหญ่ใส่ถ้วนโซ่ตรวนตรึง เสร็จแล้วจึงพามาใส่ไว้ในกรง

ให้พวกเราเอาขี้ผึ้งผนึกหู คอยนั่งดูธงชัยอย่าไหลหลง

แม้นกองทัพหลับใหลเหมือนใจจง จะโบกธงขึ้นให้เห็นเป็นสำคัญ

พระสั่งพลางทางลุกลงจากอาสน์ มาทรงราชยานหามงามขยัน

ทหารพร้อมห้อมแห่ออกแจจัน ขึ้นบนชั้นเชิงเทินเที่ยวเดินดู

เห็นพหลพลขันธ์พวกฟันเสี้ยม กำแพงเหี้ยมโห่ลั่นสนั่นหู

แต่ล้วนมือถือคันเกาทัณฑ์ธนู สังเกตดูแต่งกายคล้ายเสี้ยวกาง

ทั้งสูงใหญ่ไพร่นายนั้นหลายหมื่น พอแรงปืนถือถนัดไม่ขัดขวาง

พระดูพลบนเชิงเทินดำเนินพลาง พาขุนนางไปประทับที่พลับพลา

ขึ้นทรงนั่งยังที่เก้าอี้เอี่ยม อำมาตย์เฟี้ยมเฝ้าฝ่ายทั้งซ้ายขวา

หยิบปี่แก้วแล้วชูขึ้นบูชา พอลมมาเพลาเพลาทรงเป่าพลัน

เปิดสำเนียงเสียงลิ่วถึงนิ้วเอก หวานวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์

ให้ขึ้นเฉื่อยเจื่อยแจ้วถึงแก้วกรรณ เหล่าพวกฟันเสี้ยมฟังสิ้นทั้งทัพ

ยืนไม่ตรงลงนั่งยิ่งวังเวก เอกเขนกนอนเคียงเรียงลำดับ

เจ้าละมานหวานทรวงง่วงระงับ ลงล้มหลับลืมกายดังวายปราณฯ


การเป่าปี่ครั้งที่ ๕ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๔ อยู่ในตอนที่ ๓๐ พระอภัยมณีตีเมืองใหม่ เล่ม ๑ หน้า ๔๑๗ - ๔๑๘ พระอภัยมณีเป่าปี่ห้ามทัพ



@ ฝ่ายองค์พระอภัยตกใจวับ เห็นศึกกลับโอบอ้อมเข้าล้อมหลัง

ข้างพวกเขาเผาเรือเหลือกำลัง ฝ่ายฝรั่งรบรุกมาทุกที

ดูทัพหน้าขวาซ้ายหายไปหมด เขาล้อมรถทรงไว้มิให้หนี

ตกพระทัยในอารมณ์ไม่สมประดี จึงทรงเป่าปี่ห้ามปรามณรงค์

วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนึยงสนั่น คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง

ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง ลืมณรงค์ครบสู้เงี่ยหูฟัง

พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง

ว่าจากเรียนเหมือนนกมาจากรัง อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย

ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้ ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย

โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำที่อัมพร

หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น ระรวยรื่นรินรินกลิ่นเกสร

แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง

วิเวกแว่วแจ้วเสียงสำเนียงปี่ พวกโยธีทิ้งทวนชวนเขนง

ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป

จังหรีดหริ่งสิงสัตว์สงัดเงียบ เย็นระเยียบย่อมหญ้าพฤกษาไสว

น้ำค้างพรมลมสงัดไม่กวัดไกว ทั้งเพลิงไฟโซมซาบไม่วาบวูฯ




การเป่าปี่ครั้งที่ ๖,๗,และ ๘ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๕ ๖, และ ๗อยู่ใน ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีเป่าปี่เรียกนางละเวง เล่ม ๑ หน้า ๔๒๓ พระอภัยมณีเป่าปี่เป่าปี่เรียกนางละเวง รวมเป่าปี่ทั้งหมด ๓ ครั้ง ในการเรียกนางละเวง

๑ @ พระแลตามหวามวับเมื่อลับเนตร ด้วยพระเวทหวังจิตพิสมัย

จะตามโลมโฉมละเวงก็เกรงใจ จะผันแปรแก้ไขฉันใดดี

แล้วนึกได้ในวิชาพฤฒาเฒ่า จะลองเป่าปี่ประโลมนางโฉมศรี

ให้งามสรรพกลับมาได้พาที แล้วทรงปี่เป่าเกี้ยวประเดี๋ยวใจ

ต้อยตะริดติดตี่เจ้าพี่เอ๋ย จะละเลยเร่ร่อนไปนานไหน

แอ้อีอ่อยสร้อยฟ้าสุมาลัย แม้นเด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย

ฉุยฉายชื่นรื่นรวยระทวยทอด จะกล่อมกอดกว่าจะหลับกับเขนย

หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย ใครจะเชยโฉมน้องประคองนวล

เสนาะดังวังเวงเป็นเพลงพลอด เสียงฉอดฉอดชดช้อยละห้อยหวน

วิเวกแว่วแจ้วในใจรัญจวน เป็นความชวนประโลมโฉมวัณฬาฯ




๒ @ ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงฟังเพลงปี่ ให้รอรีรวนเรเสน่หา

คิดกำหนัดอัดอั้นหวั่นวิญญาณ์ นึกนึกน่าจะใคร่ปะพระอภัย

เธอพูดดีปี่ดังฟังเสนาะ จะฉอเลาะลูบต้องทำนองไหน

แม้ถนอมกล่อมกลอกเหมือนดอกไม้ จะชื่นใจน้องยาทุกราตรี

ยิ่งกลับฟังวังเวงเพลงสังวาส ยิ่งหวั่นหวาดวิญญาณ์มารศรี

ตะลึงลืมปลื้มอารมณ์ไม่สมประดี ด้วยเพลงปี่เป่าเชิญให้เพลินใจ

จนลืมองค์หลงรักชักสินธพ กลับมาพบพิศวงด้วยหลงใหล

พระเห็นนางวางปี่ด้วยดีใจ เข้าเคียงใกล้กล่าวประโลมโฉมวัณฬา

ขอเชิญนุชสุดสวาทไปราชรถ อย่าระทดท้อจิตกนิษฐา

นางรู้สึกนึกพรั่นหวั่นวิญญาณ์ กลับชักม้าควบขับไปลับองค์

อ้อมออกทางข้าเขาให้เศร้าจิต แล้วหยุดคิดแค้นใจด้วยใหลหลง

อันลมปี่นี้ละลวยให้งวยงง สุดจะทรงวิญญาณ์รักษาตัว

ถ้าขืนอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง ฉวยพลั้งเพลี่ยงเพลงปี่ต้องมีผัว

จะพลอยพาหน้าน้องให้หมองมัว เหมือนหญิงชั่วชายเกี้ยวประเดี๋ยวใจ

เหลือลำบากยากเย็นด้วยเป็นหญิง จำจะทิ้งกองทัพที่หลับใหล

ไปลังกาอย่าให้มีราคีภัย แล้วจะได้แต่งทหารมาราญรอน

ดำริพลางนางขยับจับพระแสง สะพายแล่งลูกเกาทัณฑ์ถือคันศร

เหน็บกระบี่มีหอกซัดข้างอัสดร แล้วหยุดหย่อนยืนดูหมู่โยธา

ไม่ไหวติงนิ่งหลับระงับเงียบ ยิ่งเย็นเยียบเยือกจิตกนิษฐา

สุดจะช่วยด้วยทัพอัปรา ชลนานองเนตรสังเวชใจ

จะอยู่นานการด่วนจวนจะรุ่ง เขม้นมุ่งมรรคาพฤกษาไสว

ควบอาชาผ่าตรงเข้าพงไพร สังเกตใจจำทางไปกลางคืน

สันโดษเดี่ยวเปลี่ยวเปล่าเสร้าสลด ระทวยทดทุกข์ร้อนถอนสะอื้น

แต่การทัพขับขันสู้กลั้นกลืน อุตส่าห์ขืนขับม้ารีบคลาไคลฯ




๓ @ ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลลักษณ์ กำเริบรักร้อนจิตคิดสงสัย

เมื่อเป่าปี่เยาวมาลย์มาเหมือนใจ ครั้นหยุดปี่หนีไปไม่ได้การ

เที่ยวควบม้าหาจบไม่พบปะ สุดที่จะติดตามความสงสาร

เสน่หาอาวรณ์ร้อนรำคาญ เยาวมาลย์แม่จะแฝงไปแห่งไร

หรือหยุดปี่ดีร้ายจะคลายรัก เสียดายนักนึกน่าน้ำตาไหล

จะโลมเล้าเป่าอีกให้อ่อนใจ แม้นมาใกล้เหมือนเมื่อกี้แล้วมิฟัง

พลางบรรเลงเพลงปีระรี่เรื่อย จนเหน็ดเหนื่อยในอารมณ์ไม่สมหวัง

พระศอแสบแหบเครือเหลือกำลัง จึงหยุดยั้งรำพึงคะนึงใน

ที่ปี่เราเป่าอีกจะหลีกเลี่ยง หรือฟังเสียงหลับซบสลบไสล

หรือนิ่มน้องหมองหมางระคางใจ ว่าพี่ไม่ปลุกทัพให้กลับมา

ยิ่งครวญคร่ำรำลึกยิ่งนักรัก ละล้ำละลักเหลียวแลชะแง้หา

ที่รอนราญการศึกไม่ตรึกตรา ด้วยเหตุว่าเวทมนตร์เข่าดลใจ ฯ




การเป่าปี่ครั้งที่ ๙ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๘ อยู่ในตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีเป่าปี่ปลุกทัพ เล่ม ๑ หน้า ๔๒๔ - ๔๒๕ พระอภัยมณีเป่าปี่ปลุกทัพ



@ จึงคิดว่าอย่าเลยจะปลุกทัพ ให้งามสรรพสิ้นพะวงที่สงสัย

เป็นสำเร็จเสร็จศึกเหมือนนึกไว้ เห็นจะได้เชยชมโฉมวัณฬา

ดำริพลางทางลงแล้วทรงปี่ เรียกโยธีไพร่นายทั้งซ้ายขวา

ให้วาบแว่วแก้วหูรู้วิญญาณ ต่างลืมตาตกใจทั้งไพร่นาย

ลุกขึ้นวิ่งทิ้งเครื่องสรรพาวุธ อุตลุดล้มคว่ำคะมำหงาย

เสียงครึกครื้นคืนพลัดกระจัดกระจาย ต่างวุ่นวายวิ่งพัลวันไปฯ




การเป่าปี่ครั้งที่ ๑๐ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๙ อยู่ในตอนที่ ๓๕ พระอภัยมณีติดท้ายรถ เล่ม ๑ หน้า ๔๙๘ พระอภัยมณีเป่าปี่เพราะหลงอุบายนางยุพาผกาหลอกให้เป่าปี่สะกดทัพของตนเอง

@ นางยินดีที่ได้สมอารมณ์คิด ด้วยทรงฤทธิ์ร่านรักเป็นหนักหนา

เคารพรับอภิวันท์จำนรรจา พระสัญญาณล้นเหลือลูกเชื่อฟัง

ขอผ่านเกล้าเป่าปี่ขึ้นที่ทัพ ให้คนหลับสิ้นสมอารมณ์หวัง

จะอาสาพาไปเข้าในวัง ตามไปลังกาอยู่เป็นคู่ครองฯ

@ พระฟังคำรำลึกพอนึกได้ ดีพระทัยที่จะชมประสมสอง

หยิบขี้ผึ้งซึ่งเธอทำไว้สำรอง โยนให้ย่องตอดบ้างทั้งธิดา

อันปรอทหยอดหูสู้ไม่ได้ มันเหลวไหลเข้าในหนังในมังสา

แล้วแลดูสุริยนพอสนธยา หยิบปี่มาเป่าเพลงวังเวงใจ

เสียงแจ้วแจ้วแว่วโหวยโหยละห้อย โอ้หอมสร้อยเสาวรสแป้งสดใส

เสาวคนธ์มณฑาสุมาลัย สักเมื่อไรสาวน้อยจะลอยมา

แล้วเป่าเห่เรไรจับใจแจ้ว ค่ำลงแล้วเจ้าจะคอยละห้อยหา

ระหวยหิวหวิววับจับวิญญาณ์ พวกลังกากองทัพต่างหลับไป

ถึงเคยรู้อยู่วันนั้นไม่ทันรู้ พอแว่วหูหวนวับก็หลับใหล

นางยุพานารีก็ดีใจ จึงเชิญให้แต่งองค์ทรงราชา

พระทรงเครื่องเรืองจำรัสดูตรัสเตร็จ ล้วนพลอยเพชรแพรวพราววาวเวหา

ทรงมหามาลัยแล้วไคลคลา มาทรงม้าพระที่นั่งอลังการฯ




การเป่าปี่ครั้งที่ ๑๑ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๑๐ อยู่ในตอนที่ ๔๔ กษัตริย์สามัคคี เล่ม ๒ หน้า ๑๗๐ พระอภัยมณีเป่าปี่เรียกนางละเวงและกองทัพทั้งหมด

@ จำจะเป่าปี่ลองเรียกน้องรัก ให้ประจักษ์แจ้งความมาตามผัว

ทั้งพวกเราชาวผลึกรู้สึกตัว จะเกรงกลัวลมปี่หลบหนีไป

ดำริพลางทางสั่งให้ยั้งหยุด ทหารจุดคบกระจ่างสว่างไสว

ให้รายรอบขอบป่าพนาลัย คอยรับไพร่พวกเราจะเข้ามา

แล้วแต่งองค์ลงจากม้าที่นั่ง ขึ้นหยุดยั้งอยู่บนเนินเชิงเทินผา

คิดรำพึงถึงลูกสาวเจ้าลังกา หยิบปี่มาเป่าดังเป็นกังวาน

แต่ไม่ให้ไพร่พลผู้คนหลับ ให้วาบวับแว่วเพลงบรรเลงหวาน

วิเวกโหวยโหยไห้อาลัยลาน โอ้ดึกป่านนี้แล้วแก้วกลอยใจฯ

แม่วัณฬานารีศรีสวัสดิ์ จะพรากพลัดไพร่พลไปหนไหน

น้ำค้างย้อยพรอยพรมพนมไพร จะหนาวในทรวงน้องจนหมองนวล

โอ้ยามสามยามนี้เจ้าพี่เอ๋ย พี่เคยกอดน้องประคองสงวน

แม่ยอดหญิงมิ่งขวัญจะรัญจวน เสียดายนวลเนื้ออุ่นละมุนทรวง

เคยไสยาสน์อาสน์อ่อนบรรจถรณ์แท่น มาดินแดนดงรังใช่วังหลวง

ขอเชิญแก้วแววตาสุดาดวง มาชมพวงมาลีด้วยพี่ยา

ล้วนแช่มชื่นแย้มบานทุกก้านกิ่ง ยิ่งคิดยิ่งหวนหอมบนจอมผา

พี่อยู่เดียวเปลี่ยวใจนัยนา แม่วัณฬาหลบแฝงอยู่แห่งไร

จนดาวเคลื่อนเดือนดับยิ่งลับน้อง เห็นแต่ห้องหิมวาพฤกษาไสว

มาหาพี่หน่อยเถิดกลอยใจ จะกล่อมให้บรรทมให้ชมเชย

ถึงยากไร้ไม่มีที่พระแท่น จะกางกอดทอดแขนแทนเขนย

หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย ใครจะเชยโฉมน้องประคองเคียง

เคยอยู่วังฟังนางสุรางค์เห่ มาฟังเรไรเพราะเสนาะเสียง

วิเวกแว่วแจ้วเจื้อยเรื่อยสำเนียง เสนาะเพียงพิณเพลงบรรเลงลานฯ


การเป่าปี่ครั้งที่ ๑๒ ของเรื่องพระอภัยมณีเป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่๑๑อยู่ในตอนที่ ๖๑ สังฆราชบาทหลวงเผาเมืองลงกาเล่ม๒หน้า๔๕๖ พระอภัยมณีเป่าปี่จับวลายุดาวายุพัฒน์หัสกันได้

@ ฝ่ายองค์พระอภัยเห็นใกล้ค่ำ จึงวักน้ำลูบปี่อธิษฐาน

เป่าเสียงสูงฝูงคนเหลือทนทาน ก้องกังวานวาบวับเสียวจับใจ

ให้ปลาบปลื้มลืมอื่นบ้างยืนนั่ง โยธาทั้งสามทัพเคลิ้มหลับใหล

แต่องค์พระมังคลาคาดตราไว้ ตกพระทัยวิ่งมาเข้าหาครู

บาทหลวงยังนั่งกินเหล้าเสียงเป่าปี่ ฉวยทองหยิบบีบขยี้เข้าที่หู

ฉุดมังคลาว่าไวไวไปกับกู ออกประตูตะวันตกวิ่งวกวน

ดูม้าช้างต่างหลับเห็นทัพล้อม ตั้งค่ายอ้อมโอบสกัดคิดขัดสน

ข้าบุกป่าฝ่าหนามไปตามจน แต่สองคนด้นเดินเนินบรรพตฯ

@ ฝ่ายศรีสุวรรณสินสมุทรสุดสาคร เจ้ามังกรเจ้ายุขันพร้อมกันหมด

พระกฤษณาสามารถราชโอรส ต่างปิดหูรู้กำหนดหมดด้วยกัน

ครั้นกองทัพหลับสงบพอพลบค่ำ บันไดทำไว้สำหรับทุกทัพขันธ์

ปีนเข้าได้ในกำแพงแจ่มแสงจันทร์ ด้วยเป็นวันเพ็ญบูรณ์เห็นหุ่นกล

คนประจำสำหรับก็หลับอยู่ ต่างพิศดูรู้อุบายเป็นสายสน

มิใช่องค์พงศ์กษัตริย์มันจัดคน สวมรูปกลแขวนรอกร้องหลอกลวง

ต่างจุดไฟเที่ยวส่องทุกห้องหับ หมายจะจับหน่อนาถกับบาทหลวง

เห็นโยธาฝรั่งสิ้นทั้งปวง ถือคันควงขันรอกกรนครอกดังฯ

@ ฝ่ายพระอภัยมณีทรงปี่เป่า เห็นน้องเข้าด่านได้ดังใจหวัง

ยินดีสุดหยุดปี่มีกำลัง ไม่รอรั้งรีบเข้าไปในกำแพงฯ




การเป่าปี่ครั้งที่ ๑๓ ของเรื่องพระอภัยมณี เป็นการเป่าปี่ของพระอภัยมณีครั้งที่ ๑๑อยู่ในตอนที่ ๖๑ พระอภัยมณีเยี่ยมศพนางมณฑา(เมืองผลึก)เล่ม๓หน้า๖๕ พระอภัยมณีเป่าปี่ห้ามปลามิให้หนุนเรือ

@ ฝ่ายพระอภัยในกำปั่น เห็นเงื้อมเงาเขากัลปังหา

ฝูงปลาใหญ่ในน้ำว่ายคล่ำมา ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังดั่งคีรี

พวกฝรั่งนั่งยืนยิงปืนสุ้ มันยิ่งพรูกันมาอีกไม่หลีกหนี

กดกำปั่นนั้นจนเปลี้ยจะเสียที่ จึงหยิบปี่เป่าเสียงสำเนียงดัง

ฝูงปลาใหญ่ได้ยินลืมกินเหยื่อ ที่หนุนเรือเคลื่อนคล้อยกลับถอยหลัง

ขึ้นลอยล่องฟ่องฟูเงี่ยหูฟัง วิเวกวังเวงแว่วแจ้วจับใจ

เสียงฉอดฉ่ำร่ำวาเทพารักษ์ ซึ่งสำนักเนินผาชลาไหล

ขอเชิญช่วยด้วยเถิดพระเลิศไกร ให้พ้นภัยผูงปลาในวารี

แล้วเป่าบวงสรวงถวายฉุยฉายเอ๋ย เชิญชมเชยจันทร์จำรัสรัศมี

ดารากรร่อนเร่ในเมฆี จะช่วยชี้ชมดาวสาวสาวเอย

ไม่มีคู่อยู่เดียวเปล่าเปลี่ยวอก ไม่เหมือนกกกอดพระทองนะน้องเอ๋ย

จะชมอื่นคืนกลับลิลับเลย เสียงฉอดฉอดเฉื่อยฉ่ำด้วยน้ำเสียง

ก้องกังวานหวานแว่วแจ้วจำเรียง ส่งสำเนียงนิ้วเอกวังเวกใจฯ


ซึ่งการเป่าปี่ครั้งนี้ใช้เวลานานมากตลอดการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลประมาณ ๑ เดือนครึ่ง

(เล่ม๓หน้า๗๑)

@ ทั้งสามวงศ์ทรงฟังให้วังเงก เอกเขนกแหงนนิ่งอิงเขนย

ขอเดชะพระพายช่วยชายเชย มารำเพยพัดส่งให้ตรงไป

เป่าทุ้มปี่มิให้คนไพร่พลหลับ พอให้จับจำเรียงส่งเสียงใส

กำปั่นทรงหงส์บัลลังก์ทั้งเรือใช้ สำราญใจไปด้วยกันทุกวันคืน

พระคงคาสาธุพายเงียบ คลื่นราบเรียบลมเรื่อยแล่นเฉื่อยชื่น

มาเดือนหนึ่งจึงค่อยสร่างนภางค์พื้น ในกลางคืนแลเขม้นพอเห็นดาว

เดือนตะวันนั้นไม่เห็นเป็นแต่แสง แดดไม่แข็งคนทั้งหลายไม่หายหนาว

อีกเดือนครึ่งจึงเห็นจันทร์ตะวันวาว ถึงเกาะคังคาวโขดเขาสำเภาทลาย

ถนนขวางกลางสมุทรเสมอน้ำ ไปยังค่ำก็ไม่สิ้นเนินหินหายฯ


หนังสือค้นคว้า

พระอภัยมณี เล่ม ๑ ของสุนทรภู่ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งที่สิบหก กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร ๒๕๔๔

พระอภัยมณี เล่ม ๒ ของสุนทรภู่ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งที่สิบหก กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร ๒๕๔๔

พระอภัยมณี เล่ม ๓ ของสุนทรภู่ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งที่สิบหก กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร ๒๕๔๔

พระอภัยมณี เล่ม ๔ ของสุนทรภู่ ฉบับสมบูรณ์ พิมพ์ครั้งที่สิบหก กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร ๒๕๔๔

ค้นคว้าและเรียบเรียงโดย นางสาว กัญจนณัฐ ปัญญาลิขิตกุล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น