วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การศึกษาประวัติและปฏิปทา พระธรรมมังคลาจารย์ (วิ.)




การศึกษาประวัติและปฏิปทา พระธรรมมังคลาจารย์ (วิ.)

ประวัติและปฏิปทา พระธรรมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อทอง สิริมงฺคโล)

วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
๏ ชื่อ พระธรรมมังคลาจารย์ ฉายา สิริมงฺคโล สิริอายุ ๘๖ พรรษา ๖๕ (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒)
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่, เจ้าคณะอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และหัวหน้าพระวิปัสสนาจารย์หนเหนือ กองการวิปัสสนาธุระ


๏ ชื่อ ทอง นามสกุล พรหมเสน เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีกุน ณ ตำบลบ้านแอ่น อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
๏ บิดาชื่อ นายทา พรหมเสน, มารดาชื่อ นางแต้ม พรหมเสน, คุณปู่ชื่อ ขุนต่างใจ เป็นบุตรของพระยาพิพิธเสนา (ชื่น) ทหารรักษาพระองค์ เป็นชาวอำเภอศรีมโหสถ (โคกปีบ) จังหวัดปราจีนบุรี
ขุนต่างใจเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
ครั้งเสด็จฯ ประพาสภาคพายัพ, คุณย่าชื่อ จันตา เป็นชาวบ้านนาแก่ง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

๏ การบรรพชาและอุปสมบท
บรรพชา เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๒ วันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๗ (อายุ ๑๑ ปี) ณ วัดนาแก่ง ตำบลบ้านแอ่น อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระชัยวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้งในสมัยเป็นสามเณรได้ติดตามอุปัฏฐาก ครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย อย่างใกล้ชิด และได้ติดตามไปในการสร้างวัดบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์สถานในที่ต่างๆ และทั้งร่วมสร้างถนนขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่
อุปสมบท เมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๗ ณ วัดบ้านแอ่น อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระครูคัมภีรธรรม พฺรหฺมปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดพระชัยเกียรติ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการญาณรังษี วัดหัวทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาจันทร์ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นพระอนุสาวนาจารย์

๏ การศึกษาเบื้องต้นและพระปริยัติธรรม
พ.ศ. ๒๔๗๗ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านแอ่น อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๘๕ สอบได้นักธรรมตรี สำนักเรียนวัดนาแก่ง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๘๖ สอบได้นักธรรมโท สำนักเรียนวัดชัยพระเกียรติ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๘๗ สอบได้นักธรรมเอก สำนักเรียนวัดพันอ้น อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๐๐-๒๕๐๓ ได้เดินทางไปศึกษาภาษาบาลี และพระไตรปิฎก ณ วัดพญาจีจองไต้ (เช้าทัดจี) และเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับท่านมหาสีสยาดอ ณ วัดสาสนยิสสา กรุงย่างกุ้ง ประเทศสหภาพพม่า


๏ ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๙๑-๒๕๓๑ เป็นเจ้าอาวาสวัดเมืองมาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๕๓๔ เป็นเจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๓๔-ปัจจุบัน เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๑๑-ปัจจุบัน เป็นเจ้าคณะอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
๏ งานด้านการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๑๒ จัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมและบาลี และพระอภิธรรม ณ วัดเมืองมาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๑๕ จัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมและบาลี และพระอภิธรรม ณ วัดอินทาราม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นประธานดำเนินการตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับอักษรล้านนา
พ.ศ. ๒๕๓๑ จัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมและบาลี พระอภิธรรม และภาษาล้านนา
ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๓๔ จัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมและบาลี พระอภิธรรม และโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานดำเนินการตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับแปลภาษาล้านนา
อักษรล้านนา

๏ งานด้านเผยแผ่วิปัสสนาธุระ
เมื่อเข้าฝึกวิปัสสนากรรมฐานจากสำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร และ
สำนักมหาสีสยาดอ สาสนยิสสา กรุงย่างกุ้ง ประเทศสหภาพพม่า
แล้วได้กลับมาเปิดสำนักวิปัสสนากรรมฐาน ดำเนินการสอนตลอดมา
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าพระวิปัสสนาจารย์หนเหนือกองการวิปัสสนาธุระ
และได้ขยายสำนักสาขาปฏิบัติอีกหลายสำนัก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

๏ สำนักปฏิบัติวิปัสสนาสาขาในประเทศ
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดเมืองมาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดถ้ำตอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดถ้ำหม้อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดปัญญาวุธาราม (สันกู่) อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดถ้ำบัวตอง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานพระเทพสิทธาจารย์ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานปฏิบัติธรรมล้านนา อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระเกิ๊ด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดพระธาตุดอยเกิ้ง อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานสมเด็จสุญญตวิโมกข์ อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานพระเทพสิทธาจารย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานพระธาตุเขาเขียว อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานห้วยน้ำดิบ อำเภอป้าโฮ่ง จังหวัดลำพูน
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดธัมมิกราช อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานป่าสักคำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานธรรมจักร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก
- สำนักวิปัสสนากรรมฐานสุพรหมยาน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

๏ สำนักปฏิบัติวิปัสสนาสาขาต่างประเทศ
ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นต้นมา ได้เดินทางไปเผยแผ่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งในภาคพื้นยุโรปและอเมริกา มีประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมันนี, สวิสเซอร์แลนด์,
เนเธอร์แลนด์, อิตาลี, อเมริกา และเม็กซิโก
และในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ สร้างวัดพุทธปิยวนาราม เมืองแฟรงเฟริท ประเทศเยอรมันนี

๏ ลำดับสมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นพระปลัดฐานานุกรมของพระครูคัมภีรธรรม เจ้าคณะอำเภอฮอด
พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นพระครูพิพัฒน์คณาภิบาล พระครูสัญญาบัตร
พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญวิปัสสนาที่ พระสุพรหมยานเถร
พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นพระราชาคณะชั้นราชวิปัสสนาที่ พระราชพรหมาจารย์
พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพวิปัสสนาที่ พระเทพสิทธาจารย์
พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมวิปัสสนาที่ พระธรรมมังคลาจารย์
การเดินทางสู่สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร
จากตัวเมืองเชียงใหม่มุ่งหน้าไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฮอด 58 กิโลเมตร เป็นวัดสำคัญคู่เมืองจอมทองและเป็นที่เคารพสักการะของชาวเหนือโดยทั่วไป ประเพณีเด่นของวัดคือ การแห่ไม้ค้ำโพธิ์ ซึ่งเป็นประเพณีของชาวล้านนาที่ถือว่าการเอาไม้มาค้ำโพธิ์เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา


วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร จ.เชียงใหม่ เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี
วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
สร้างเมื่อพุทธศักราช ๑๙๙๔ โดยนายสร้อย นางเม็ง เป็นผู้สร้างขึ้นบนดอยจอมทอง จึงได้ชื่อว่า

“ วัดพระธาตุเจ้าศรีจอมทอง ” สูงจากที่ราบ ๑๐ เมตร อยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากอำเภอเมือง เชียงใหม่ ๕๘ กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกมีเทือกเขาเรียกว่า "ดอยอินทนนท์" และลำน้ำแม่กลาง วัดนี้สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย


- ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๐
- ได้รับพระราชทานยกฐานะวัดขึ้นเป็นวัดพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิด วรวิหาร เมื่อวันที่ ๓๐ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖



- ได้รับเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง ประจำปี ๒๕๒๔ ของกรมการศาสนา
- กระทรวงศึกษาธิการได้รับเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง ที่มีผลงานดีเด่น ประจำปี ๒๕๓๘ ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ

พระธาตุศรีจอมทองเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทักษิณโมลีธาตุ พระธาตุ ส่วนที่เป็น พระเศียรเบื้องขวาของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีขนาดโตประมาณ เมล็ดข้าวโพด สันฐานกลมเกลี้ยง สีขาวนวลเหมือน ดอกบวบ หรือ สีคล้ายดอกพิกุลแห้ง

ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ ดอยจอมทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 218

ปัจจุบัน พระธาตุ ถูกบรรจุไว้ในพระโกศ 5 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ภายใน พระวิหารจตุรมุข ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์
มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส คล้ายพระเจดีย์ กว้าง 4 เมตร สูง 8 เมตร

ตามประวัติว่าสร้างขึ้นโดย พระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช หรือ พระเมืองแก้ว กษัตริย์ราชวงศ์มังราย
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 206

วัดพระธาตุศรีจอมทอง เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญมากวัดหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่
เนื่องจากเป็นทั้งพระอารามหลวง และเป็นทั้งที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
ที่ตั้งของวัดคือบ้านลุ่มใต้ ถนนสายเชียงใหม่ - ฮอด หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านหลวง
อำเภอ จอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศใต้
ประมาณ ๕๘ กิโลเมตร

ตามตำนานที่กล่าวถึงความเป็นมา ของพระบรมธาตุศรีจอมทอง
สรุปใจความได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพุทธพยากรณ์ไว้กับพญาอังครัฏฐะ ผู้ครองอังครัฏฐะ
ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณดอยจอมทองว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปภายหน้าจะเป็นที่ประดิษฐาน
พระทักษิณโมลีธาตุ ( พระเศียรเบื้องขวา ) ของพระองค์

ต่อมาภายหลังเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว โทณพราหมณ์ได้จัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้แก่กษัตริย์ทั้ง ๘ นคร ซึ่งในครั้งนั้น มัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราทรงได้พระทักษิณโมลีธาตุไว้ พระมหากัสสปะเถระเจ้าประธานฝ่ายสงฆ์ จึงได้กราบทูลมัลลกษัตริย์ถึงพุทธพยากรณ์ที่พุทธองค์เคยตรัสไว้
มัลลกษัตริย์ทราบดังนั้นจึงถวายพระบรมธาตุแด่พระมหากัสสปะเถระ ซึ่งท่านก็ได้อัญเชิญพระบรมธาตุวางไว้บนฝ่ามือ แล้วอธิษฐานอาราธนาพระบรมธาตุให้เสด็จไปยังดอยจอมทอง เพื่อประทับอยู่ในโกศแก้วอินทนิลภายในเจดีย์ทองคำ ที่พญาอังครัฎฐะได้สร้างถวายไว้

ตำนานยังได้กล่าวต่ออีกว่า หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว ๒๑๘ ปี พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ( พระเจ้าอโศกมหาราช ) ได้เสด็จมายังดอยจอมทองและทรงขุดคูหาเป็นอุโมงค์ แล้วอัญเชิญพระบรมธาตุจากพระสถูปมาประดิษฐานในอุโมงค์แห่งนั้น พร้อมทั้งอธิษฐานให้พระบรมธาตุปรากฏให้เห็นเฉพาะผู้ที่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ต่อมาเมื่อ พ . ศ . ๑๘๘๕ สามีภรรยาคู่หนึ่งชื่อนายสอยและนางเม็ง ซึ่งเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ได้ค้นพบพระบรมธาตุจอมทองในลักษณะที่เป็นพระทักษิณโมลีธาตุ คือเป็นพระธาตุจอมพระเศียรเบื้องขวาของพระพุทธเจ้ามีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด สัณฐานกลมเกลี้ยง สีดอกพิกุลแห้ง หรือสีดอกบวบ บรรจุในโกศทองเหลือง หล่อทองปิดทองสัณฐานกลม กว้าง ๑ ศอก สูง ๑ เมตร ชั้นในเป็นผอบเงินและผอบทองลงยาประดับเพชร ทว่าตำนานอื่นได้กล่าวถึงข้อความในตอนนี้แตกต่างออกไปว่า สามีภรรยาทั้งคู่ได้สร้างเสนาสนะก่อพระเจดีย์และสร้างพระพุทธรูป ๒ องค์ ไว้บนดอยจอมทองด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา และถือว่าเสนาสนะเหล่านั้นเป็นปฐมอารามของวัดพระธาตุศรีจอมทอง โดยปรากฏเนื้อความในตำนานว่า “… คนทั้งหลายมีนายสอยและนางเม็งเป็นประธานจึงสร้างศาลา และก่อเจดีย์ที่ดอยต้นทองข้างบนถ้ำคูหาที่นั้น เหตุนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกชื่อวัดนั้นว่า “ วัดจอมทอง ”
ดังนี้แลฯ ” แต่ในขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดทราบว่ามีพระบรมธาตุสถิตอยู่ จนกระทั่งมีชีปะขาวคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในวัดได้ฝันเห็นเทวดามาบอกว่า ใต้พื้นวิหารมีพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า จึงนำความไปบอกเจ้าอาวาสและทำการอธิษฐานอัญเชิญพระบรมธาตุขึ้นมาประดิษฐานในวิหาร ต่อมาในปี พ . ศ . ๒๐๐๙
มีคหบดี ๒ คน ชื่อนานสิบเงินและนายสิบถัว ได้มาสร้างเจดีย์และวิหารชั่วคราวซึ่งมุงด้วยหญ้าคาขึ้น แล้วนิมนต์พระสารีปุตตรเถระ ( บางตำนานว่าชื่อพระสริปุตตะเถระ ) มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัด ซึ่งบางตำรากล่าวว่าในขณะนั้นชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า “ วัดหลวง ” และเมื่อประมาณปี พ . ศ . ๒๐๑๓ หลังจากที่เจ้าอาวาสองค์แรกมรณภาพแล้ว

ชาวบ้านได้อาราธนาพระภิกษุชื่อเทพกุลเถระมาเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๒ ซึ่งท่านได้ทำการเปลี่ยนหลังคาวิหารซึ่งมุงด้วยหญ้าคานั้นให้เป็นกระเบื้อง เหตุการณ์สำคัญของวัดพระธาตุศรีจอมทองได้เกิดขึ้นในสมัยเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ หรือพระมหาธรรมปัญโญ คือพระบรมธาตุได้เสด็จออกจากถ้ำคูหา แสดงปาฏิหาริย์เป็นที่อัศจรรย์แกคนทั้งหลาย แล้วจึงสถิตอยู่ใน พระเกศโมลีของพระพุทธรูปองค์หนึ่งในพระวิหาร พระมหาเถรเจ้าธรรมปัญโญจึงอัญเชิญมาบรรจุในโกศงาช้างและเก็บรักษาไว้สืบมา

โดยเหตุการณ์ในตอนนี้มีข้อความปรากฏในตำนานเพิ่มเติม ซึ่งคล้ายกับตำนานข้างต้นที่อ้างถึงชีปะขาว โดยมีใจความว่าในสมัยที่พระธรรมปัญโญเป็นเจ้าอาวาสวัดอยู่นั้น ชาวบ้านได้นำพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่องค์หนึ่งมาจากวัดท่าแย้มซึ่งเป็นวัดร้าง แล้วนำมาประดิษฐานที่วิหารของวัด ภายหลังเจ้าอาวาสทราบจากชีปะขาวคนหนึ่งว่ามีถ้ำอยู่ที่พื้นดินใต้วิหาร และได้รับคำแนะนำว่าควรทำการสักการบูชาพระบรมธาตุเพื่อให้แสดงปาฏิหาริย์จึงจะเป็นมงคล เมื่อพระธรรมปัญโญปฏิบัติตามกลับไม่เห็นผลใดๆ


จนกระทั่งเดือน ๖ เหนือ (เดือน ๔ ของภาคกลาง)
ขึ้น ๑๕ ค่ำ จ .ศ .๘๖๑ ( พ . ศ .๒๐๔๒ )
จึงเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นปรากฏให้ชาวบ้านศรีจอมทองได้เห็น
คือมีแสงสว่างปกคลุมพระวิหารไว้หมดแล้วแสงนั้นก็หายไป

วันรุ่งขึ้นพบว่าประตูพระวิหารเปิดอยู่และส่วนยอดโมลีของพระพุทธรูปองค์ที่นำมาจากวัดท่าแย้ม
หลุดออกจากพระเศียรตกลงมาอยู่ที่หน้าตัก เมื่อเปิดพระโมลีดูก็พบว่ามีพระบรมธาตุอยู่ภายใน
ท่านเจ้าอาวาสจึงห่อพระบรมธาตุเก็บไว้ในโมลีของเศียรพระพุทธรูปอย่างเดิม
ต่อมาพระเมืองแก้ว กษัตริย์ลำดับที่ ๑๔ แห่งราชวงศ์มังราย ( ครองราชย์ระหว่าง พ . ศ . ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘ ) ได้โปรดฯให้สร้างพระวิหารจัตุรมุขขึ้น โดยมีมณฑปปราสาทตั้งอยู่กลางวิหารจัตุรมุขนั้น เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ แต่เมื่อสิ้นรัชกาลของพระเมืองแก้ว วัดพระธาตุศรีจอมทองก็ร้างไปและกลับคืนสภาพเป็นวัดอีกครั้ง จากนั้นชาวบ้านจึงไปอาราธนาพระญาณมงคลจากวัดทุ่งตุมมาเป็นเจ้าอาวาสในปี พ . ศ . ๒๑๐๐

เนื้อความในตำนานกล่าวอีกว่าในช่วงปี พ . ศ . ๒๓๑๔ – ๒๓๒๒
พระบรมธาตุเจ้าได้หายไปเป็นเวลาถึง ๙ ปี เมื่อเจ้าพระญาวชิรปราการ ( พระญาจ่าบ้าน ) กระทำพิธีอาราธนาพระบรมธาตุจึงเสด็จกลับมาประดิษฐานในมณฑปปราสาทอย่างเดิม ตราบถึงทุกวันนี้
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ มีพิธีแห่พระบรมธาตุไปบูชาข้าวที่อุโบสถและให้พุทธศาสนิกชนได้สรงน้ำ โดยจะมีการกล่าวบทอันเชิญ และใช้ช้อนทองคำเชิญพระธาตุจากผอบมาประดิษฐานในโกศแก้วที่ตั้งบนพานเงิน ตามธรรมเนียมเดิมควรนำน้ำจากน้ำแม่กลาง เจือน้ำหอมหรือแก่นจันทร์มาใช้สรง หรือจะเป็นน้ำสะอาดเจือของหอมก็ได้

สำนักวิปัสสนากรรมฐาน หนเหนือ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร มีพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณ

พระธรรมมังคลาจารย์ (วิ. ) (พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล) หัวน้าพระวิปัสสนาจารย์ หนเหนือ กองการวิปัสสนาธุระ และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นเจ้าสำนักวิปัสสนากรรมฐาน ให้การสอน การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ในแนว สติปัฎฐาน ๔ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนถึงระดับสูง สำหรับภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนผู้ที่สนใจ ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ และมีการจัดให้สอบอารมณ์ ทุกวัน (ยกเว้นวันพระ)
สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดพระธาตุศรีจอมทอง รองรับการฝึกฝน การปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐาน โดยมีที่พัก รองรับ ทั้ง แบบ เดี่ยว และแบบหมู่คณะ โดยมีกุฏิสำกรับผู้ปฏิบัติธรรม กว่า ๒๐๐ หลัง
คำแนะนำสำหรับโยคีผู้ปฏิบัติธรรม


การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถปฏิบัติได้ ภายในกุฏิของตนเอง หรือสถานที่อื่นตามแต่ผู้ปฏิบัติจะเลือก ในการเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่สำนักนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมแต่ละท่านจะได้รับคำแนะนำการปฏิบัติจากพระอาจารย์ผู้สอน โดยจะเป็นไปตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ซึ่งการปฏิบัติจะประกอบด้วย การนั่งสมาธิ ซึ่งให้ความสำคัญที่การพอง และ ยุบของหน้าท้อง ขณะหายใจ และการเดินจงกรม ซึ่งให้ความสนใจที่การเคลื่อนไหวของเท้า ระหว่างการเดิน การปฏิบัติจะแบ่งออกเป็นชุด (บัลลังค์) โดยเริ่มจากการกราบ ตามด้วยการเดินจงกรม และการนั่งสมาธิ ผู้ที่เริ่มต้นฝึกอาจจะเริ่มที่การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิอย่างละ ๑๐ นาที และค่อยๆเพิ่มระยะเวลาการเดิน และการนั่งต่อไป

ชุดที่ใช้ใส่ระหว่างปฏิบัติเป็นสีขาวและสุภาพเรียบร้อย นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องอาราธนา ศีล ๘
ทางสำนักจะจัดอาหารให้กับผู้ปฏิบัติวันละ ๒ มื้อคือ เช้าเวลา ๐๖.๐๐ น. และเพล เวลา ๑๑.๐๐ น.
โดยมีให้เลือกแบบธรรมดาและมังสะวิรัติ สำหรับช่วงเวลาหลังเที่ยงไปจนถึงเช้ามืดของวันรุ่งขึ้นนั้น
ผู้ปฏิบัติไม่สามารถรับประทานอาหารอีก (สามารถดื่มนม ชา กาแฟ ได้) สำหรับผู้ที่มีความต้องการ
เรื่องอาหารเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของสำนักได้เมื่อมาถึง
สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ตั้งอยู่ ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร
เลขที่ ๑๕๗ บ้านลุ่มใต้ ขห้วยนาทราย ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
เบอร์โทรศัพท์ ๐๕๓-๓๔๑-๗๒๕, ๐๕๓-๘๒๖-๘๖๙
เบอร์โทรสาร (แฟกซ์) ๐๕๓-๓๔๒-๑๘๕


การเดินทาง

รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๒ ถึง จ.นครสวรรค์ เข้าทางหลวงหมายเลข ๑ ผ่าน จ.ตาก ถึง อ.เถิน จ.ลำปาง แยกเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๐๖ ไปทาง จ.ลำพูน ก่อนถึง อ.บ้านโฮ่ง จะมีทางแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๐๑๐ ไป อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะไปบรรจบกับทางหลวงหมายเลข ๑๐๘ ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปตามทาง วัดอยู่ฝั่งซ้าย

รถโดยสาร มีรถโดยสารกรุงเทพ(หมอชิต) - จอมทอง สอบถามเพิ่มเติมที่โทร. ๐-๒๙๓๖-๒๘๕๒-๖๖

เครื่องบิน สายการบินไทยและสายการบินบางกอกแอร์เวย์ มีเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ออกทุกวัน สอบถามเพิ่มเติมที่บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน) โทร. ๑๕๖๖, ๐-๒๒๘๐-๐๐๖๐ บริษัท บางกอก
แอร์เวย์ จำกัด โทร. ๐-๒๒๖๕-๕๕๕๕
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้พี่ www.watphradhatusrichomtong.com

แหล่งอ้างอิง ศึกษาประวัติและปฏิปทาพระธรรมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อทอง สิริมงฺคโล) ได้ที่
เว็บไซต์ : www. watphradhatusrichomtong.com

http://www.geocities.com/watpratat/

http://watchomtong.sirimangalo.org/

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22210






ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนา เลื่อนและแต่งตั้งสมณศักดิ์พระเถรานุเถระ ประจำปี ๒๕๕๒จำนวน ๘๖ รูป แบ่งเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ๖๖ รูป และฝ่ายธรรมยุต 20 รูป เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

๘๒ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ นี้ ทั้งนี้ พระสงฆ์ทั้ง ๘๖รูป จะเข้ารับพระราชทานสถาปนา

เลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒

คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ๖๖ รูป ที่เป็น พระราชาคณะชั้นธรรม มี ๕ รูป ประกอบด้วย

พระเทพสิทธิวิมล วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กทม. เป็น พระธรรมวิมลมุนี

พระเทพปริยัติสุธี วัดบพิตรพิมุข กทม. เป็น พระธรรมปริยัติโมลี

พระเทพสิทธาจารย์ วิ. วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็น พระธรรมมังคลาจารย์ วิ.

พระเทพมงคลรังษี วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย เป็น พระธรรมมงคลรังสี

พระเทพปริยัติเมธี วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี เป็น พระธรรมวิมลโมลี



ผู้บันทึก นางสาว กัญจนณัฐ ปัญญาลิขิตกุล
ศิษย์ครูบาหลวงพ่อทอง สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร
สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ๑๕๗
หมู่ที่ ๒ บ้านลุ่มใต้ - ห้วยนาทราย ถนนฮอด-เชียงใหม่
ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๖๐
โทร. ๐๕๓๘๒๖๘๖๙

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตำนานเรื่อง พิณเปี๊ยะ


ในสมัยก่อนมหรสพยังไม่มีหลากหลายเช่นปัจจุบัน จึงมีเพลงที่บรรเลงกันสดๆในรั้วในวังเท่านั้น ในหมู่บ้านมีเพลงพื้นบ้านทั่วๆไปที่ชาวบ้านนิยมเล่นกันในวิถีชีวิตประจำวัน ตามตำนานที่เล่าขานกล่าวว่า เพลงที่ เล่นกันในรั้วในวัง จัดว่าเป็นเพลงที่ถือว่าเป็นเพลงชั้นสูง โดยเฉพาะเพลงปราสาทไหว(อ่านว่า ผาสาดไหว) ของบ้านเมืองในดินแดนชาวล้านนา เพลงปราสาทไหว เป็นเพลงชั้นบรมครูของเมืองล้านนา เมื่อเล่นเพลงนี้เมื่อใดผู้คนที่อยู่นอกวังจะพากันหลั่งไหลเข้าไปฟังในวังให้ได้ยินชัดเจนเพราะสมัยก่อนไม่มีเครื่องขยายเสียง การเข้าไปมากมายของชาวบ้านนี้เองทำให้เรือนปราสาทของพระเจ้าแผ่นดินสั่นไหว เคลือนคลอน แสดงถึงความไพเราะของเพลงที่จับใจอย่างสุดๆด้วยปรากฏการณ์ที่ปราสาทไหวนี้เอง เพลงนี้จึงเรียกกันต่อมาว่าเพลงปราสาทไหว (คนล้านนาอ่านว่าผาสารทไหว) เป็นการบ่งบอกถึงความม่วนงัน (ไพเราะเพราะพริ้ง) นั่นเอง


ปราสาทไหว เป็นเพลงอมตะของคนล้านนา ฟังแล้วม่วนอ๊กม่วนใจ๋ ... บางหมู่บ้านเรียกว่า "เพลงแห่" บางหมู่บ้านเรียกว่า "เพลงด้นหน" มีการเล่นกันทุกงาน ทั้งในงานแห่ครัวตาน (ครัวทาน) ตลอดจนถึงงานศพ จัดว่าเป็นศิลปะชั้นสูงในเพลงของล้านนา เป็นภูมิปัญญาไทยที่ถูกเพี้ยนความหมาย เพราะเพลงปราสาทไหวที่ชาวบ้านเล่นจริงๆจะไม่มีตัวโน้ต มีโทนลีลาพลิ้วไหวตามหัวใจ บ่าวหน้อย-สาวหน้อยพื้นบ้านล้านนา

พิณเพียะ(อ่านว่า พินเปี๊ยะ) มีปรากฏมานานในวรรณคดีไทยภาคอื่นจะบันทึกไว้ว่า" ยินเสียงพะเยียบรรเลงแว่ว..."

คำว่า" พะเยีย" ก็คือ พิณเปี๊ยะ พื้นบ้านล้านนา ซึ่งเวลาฝึกเล่นมันเล่น ยากมาก ต้องเปลือย-อก คือ ไม่นุ่งเสื้อ เพราะต้องเอาส่วนกะลาครอบที่อกด้านซ้ายหรือขวาตามถนัด ส่วนผู้หญิงให้เอาส่วนกะลาครอบช่องท้อง เวลาดีดเสียงดังเพียงเสียงเดียว วงดนตรีพื้นเมืองที่เขากำลังแสดงตามที่ต่างๆ จะเห็นคันไม้ด้ามยาวติดข้อไม้และ กะโหล้ง (กะลา) พร้อมมีสายดีด ที่สำคัญ ปลายด้ามคันถือ เรียกกันว่า “หัวเปี๊ยะ” จะทำด้วยโลหะเช่น ทองเหลือง ขาง เหล็กทำเป็นรูปหัวช้างบ้าง หัวนาคบ้างเพื่อใช้ผูกสาย ดังนั้น บางครั้ง เรามักได้ยินคำว่า " พิณหัวจ๊าง (ช้าง)" ก็คือ “เปี๊ยะ”นั่นเอง คำว่า"เปี๊ยะ"หมายถึง อวด หรือ เอามาแสดง ซึ่งในเพลงคำเมืองปัจจุบัน จะได้ยินเสียง เปี๊ยะดัง สลับกับเสียงปี่บ้าง เสียงซึงบ้าง

พิณเปี๊ยะ หรือ พิณเพียะ เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองลานนาชนิดหนึ่ง เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด ลักษณะของพิณเปี๊ยะ มีคันทวนยาวประมาณ 1 เมตรเศษ ตอนปลายคันทวนทำด้วยเหล็กรูปหัวช้าง ทองเหลือง สำหรับใช้เป็นที่พาดสาย ใช้สายทองเหลืองเป็นพื้น สายทองเหลืองนี้จะพาดผ่านสลักตรงกะลาแล้วต่อไปผูกกับสลักตรงด้านซ้าย สายของพิณเปี๊ยะมีทั้ง 2 สายและ 4 สาย กะโหลกของพิณเปี๊ยะทำด้วยเปลือกน้ำเต้าตัดครึ่งหรือกะลามะพร้าว ก็ได้ เวลาดีด ใช้กะโหลกประกบติดกับหน้าอก ขยับเปิดปิดให้เกิดเสียงตามต้องการ เช่นเดียวกับพิณน้ำเต้าของภาคกลาง ในสมัยก่อนชาวเหนือมักจะใช้พิณเปี๊ยะดีดคลอกับการขับลำนำในขณะที่ไปเที่ยวสาว แต่เกิดการแย่งสาวกันขึ้น จึงใช้พิณเปี๊ยะเป็นอาวุธทำร้ายกันจึงได้มีการห้ามไม่ให้มีการ เล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้อีก ทำให้พิณเปี๊ยะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

พิณ เพียะ หรือพิณเปี๊ยะ หรือบางทีก็เรียกว่าเพียะหรือเปี๊ยะ มีกล่าวถึงในพงศาวดารลานช้างเป็นทำนองว่าพระมหากษัตริย์ของชนชาวไทยในสมัย โบราณเมื่อครั้งยังตั้งอาณาจักรไทยอยู่ในประเทศจีนตอนใต้ ได้ส่งนักดนตรีนักกลอน และครูละคอนฟ้อนรำลงมาฝึกสอนคนไทยด้วยกันซึ่งอพยพแยกย้ายกันลงมาตั้ง อาณาจักรไทยอยู่ในแหลมอินโดจีนและในการนั้นได้ส่งครูลงมาสอนให้รู้จักทำและ รู้จักเล่นพิณเพียะด้วย

พิณเพียะหรือเพียะก็เป็นของที่ชนชาวไทยรู้จักทำและรู้จักเล่นกันมาแต่เดิม มีกล่าวถึงในกาพย์ขับไม้เรื่องพระรถเสน

เรียกว่า "พิณเพลีย" และกล่าวไว้คล้ายกับว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ร่วมบรรเลงในงานพระราชพิธี มงคลสมโภชด้วยดังนี้




ครั้นได้ฤกษ์ดี จึงเบิกบายศรี สมโภชภูบาล

แตรสังข์เสียงใส พาทย์ฆ้องศรไชย มีทั้งฉิ่งเพลงชาญ

ปี่ขลุ่ยเสียงหวาน จะเข้พิณเพลีย การ ศัพท์คือเพลงสวรรค์




ดูเหมือนในหนังสืออนิรุทธคำฉันท์จะเรียก พิณเพียะว่า "เพยีย" เป็นเครื่องดีดจำพวกพิณเหมือนกันใช้ประกอบขับร้องไป ดีดเสียงประสานไป เช่นกล่าวว่า



"จำเรียงสานเสียง ประอรประเอียง กรกรีด

เพยียทอง เต่งติง เพลงพิณ

ปี่แคนทรลอง สำหรับลบอง ลเบงเฉ่งฉันท์"




ในโคลงกำศรวลศรีปราชญ์เรียกไว้ว่า "เพลี้ย" จะเป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันหรือไม่ไม่ทราบ แต่ก็ใช้ดีดประกอบขับร้องเหมือนกัน เช่นที่ว่า



สายาเข้าคว้าเล่น

เดอรดีดเพลี้ยเพลงพาล

สายาอยู่ในถนน

รยมฤา ยงงที่สาวน้อยรู้

หลายกล

รยกชู้

ถามข่าว

รยกขวนน ฯ



ต่อมาฐานะของเจ้าเมืองล้านนาถูกลบล้าง ทำให้ชาววัง นักดนตรีอพยพออกไปอยู่ตามบ้านเรือนทั่วไป แต่ก็นำเพลงปราสาทไหวไปเล่นตามงานต่างๆโดยเฉพาะบ้านศพ เพื่อให้ผู้คนได้ยินเพลงที่ไพเราะได้ฟังให้หายความเศร้า กำจัดความเสียใจออกไป นานวันเข้าเวลาล่วงเลยนับเป็นร้อยพันปี เพลงปราสาทไหวกลายเป็นที่นิยมบรรเลงในงานศพ ผู้คนที่ไมทรายที่มาจึงถือว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เล่นบรรเลงในเฉพะงานศพเท่านั้น ไม่นิยมนำไปเล่นในงานมงคล งานบุญงานกุศล ซึ่งเชื่อกันว่า จะทำให้เสียขวัญ และความเชื่อนี้ ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ลุงหนานพรหมมา ได้นำเรื่องมาเล่า บอกกล่าวว่า แท้จริงแล้ว เพลงปราสาทไหว เป็นเพลงล้านนาชั้นครู ผู้คนที่จะเล่นเพลงพื้นเมืองล้านนา ต้องเล่นเพลงนี้เป็นทุกคน หรือแม้แต่การประกวดแข่งขันกรรมการจะต้องให้ทุกวงเล่นเพลงนี้เป็นเพลงบังคับ หากผู้คนสมัยใหม่ไม่ศึกษา ผะหญาปัญญา บรรพบุรุษให้ถ่องแท้แล้ว ย่อมส่งผลเสียแก่คุณค่าทาง ผะหญาของบรรพชนโดยแท้ ผู้สนใจฟังเพลงปราสาทไหว ได้ที่เว็บไซต์ http://thaipoet.my-place.us/song.html

แบบแผนดนตรีในอนิรุทธคำฉันท์ว่า

๏ จำเรียงสานเสียง

ประอรประเอียง กรกรีดเพยียทอง

เต่งติงเพลงพิณ ปี่แคนทรลอง

สำหรับลบอง ลเบงเฉ่งฉันท์

๏ ระงมดนตรี

คือเสียงกระวี สำเนียงนิรันดร์

บรรสานเสียงถวาย เยียผลัดเปลี่ยนกัน

แลพวกแลพรรค์ บรรสานเสียงดูริย์


ข้อความที่บอกว่า “ระงมดนตรี” และ “บรรสานเสียงดูริย์” ในอนิรุทธคำฉันท์ ก็คือชื่อ

“ดุริยดนตรี” มีหน้าที่ “สำหรับลบอง ลเบงเฉ่งฉันท์” สอดคล้องกับข้อความในสมุทรโฆษคำฉันท์อีกว่า

“ค้อมสงัดเสียงดุริยดั่งคม ด้อมสงัดสาวสนม อันจาวจำเรียงเสียงฉันท์”

“เพลี้ย” อันเป็นเครื่องมือที่สามัญชนในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นใช้ดีดเกี้ยวพาราสีกันและในพงศาวดารล้านช้างเรียก “เพี้ยะ”

“เพยีย” หมายถึง เพียะหรือเปี๊ยะซึ่งยังมีใช้และเรียกอยู่ในท้องถิ่นล้านนาทุกวันนี้


ในโคลงกำสรวลสมุทรกล่าวว่า “ฤๅกล่าวคำหลวงอ้า อ่อนแกล้งเกลาฉันท์” หมายถึงการสวดหรืออ่านฉันท์เป็นทำนอง (เสนาะ) โดยมี “ดนตรี” เป็นเครื่องมือบันลือบรรเลงคลอ แบบแผนของ “ดนตรี” มีเครื่องมือโดยรวมๆ น้อยชิ้นได้แก่ “ พิณ ” คือ เครื่องดีดทั่วๆไป รวมทั้ง “เพยีย” และ “ติง” รวมทั้งที่ปรากฏในกฎมณเทียรบาล อีกว่า กระจับปี่ และ จะเข้

“ ทร ” ตรงกับ “ซอ” ในกฎมณเทียรบาลมีคำว่า “สีซอ” หมายถึง เครื่องสี ในนิราศหริภุญชัย เขียนว่า “ทร้อ” ตรงกับคำว่า “สะล้อ” ของท้องถิ่นล้านนา ในข้อความที่ว่า “ปี่แคนทรลอง” มีความหมายว่าท้องถิ่นล้านนา มีการขับ หรือ ร้องเพลง เช่น “ขับซอยอยศ” ในลิลิตพระลอ ในกลุ่มชาวไทยใหญ่ มีคำว่า “ซอ” แปลว่า ร้องเพลงเมื่อประกอบเครื่องมือใดๆ ก็ออกชื่อเครื่องมือใดๆ ก็ออกชื่อเครื่องมือนั้นๆ ด้วย เช่น ซอปี่ ซอซึง ซอเปียะ ฯลฯ หาก การซอ หรือ ร้อง นั้น มีเครื่องทำจังหวะ เช่น กรับ



“ พิณ เพียะ” มีลักษณะคล้ายพิณน้ำเต้า แต่ “ พิณ เพียะ” ทำเพิ่มขึ้นเป็น ๒ สาย และ ๔ สาย ก็มี คันทวนยาว ประมาณ๑เมตรเศษ ลูกบิดก็ยาวประมาณ ๑๘ ซม. ใช้เชือกคล้องสายผูกโยงไว้กับทวนสำหรับเร่งเสียงเหมือนกับ พิณน้ำเต้า กะโหลกก็ทำด้วยเปลือกลูกน้ำเต้าตัดครึ่งลูกก็มี ทำด้วยกะลามะพร้าวก็มีเวลาดีดก็เอากะโหลกประกบติดไว้กับหน้าอกขยับเปิดปิด เพื่อให้เกิดเสียงก้องกังวานตามต้องการ เช่นเดียวกับดีดพิณน้ำเต้า ตามที่ปรากฏในท้องถิ่นภาคเหนือผู้เล่นมักจะดีดคลอขับร้องของตนเองและนิยม เล่นในขณะที่ไปเที่ยวเกี้ยวสาวตามหมู่บ้านในเวลาค่ำคืน เดี๋ยวนี้หาผู้ที่เล่นได้ยากแล้วแต่ยังพอมีพี่น้องชาวไทยทางภาคเหนือของ ประเทศไทยเล่นได้บ้าง ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมีเครื่องสายชนิดหนึ่งบอกไว้ว่า พิณเพียะ แต่ใช้ไม้จริงชนิดเบาทำเป็นกะโหลก ยาวตั้งแต่กะโหลกจนตลอดคันทวนประมาณ ๑.๒๒ เมตร แกะสลักฝังงาลงไปในเนื้อไม้เป็นลวดลายแพรวพราว ตัวกะโหลกกว้างประมาณ ๒๘ ซม. คันทวนแบนใหญ่กว้างประมาณ ๔๘ ซม. มีสายถึง ๕ สาย